Donate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การแปลงไฟฟ้ากระแส ตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การแปลงไฟฟ้ากระแส ตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

การแปลงไฟฟ้ากระแส ตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ Inverter

การแปลงไฟฟ้ากระแส ตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ
Inverter

บทนำ

การแปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแส สลับ นิยมเรียกกันว่าอินเวอร์เตอร์ (Inverters) ซึ่ง สามารถเปลี่ยนแปลง หรือควบคุมระดับแรงดันไฟฟ้า และความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับได้ อินเวอร์เตอร์ได้นำไปใช้ประโยชน์ต่างๆได้ เช่น
1. แหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับสำรอง เมื่อแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับหลักเกิดขัดข้องขึ้น ที่เรียกกันว่า Stand-by Power supplies หรือ Uninteruptible Power Supplies โดยเรียกย่อๆ ว่า UPS ใช้ เป็นระบบไฟฟ้าสำรองสำหรับอุปกรณ์ที่สำคัญๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เมื่อแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับหลักเกิดขัดข้อง Transfer Switch ซึ่งทำงานด้วยความเร็วถึง 1/1000 วินาที จะต่ออุปกรณ์เข้ากับอินเวอร์เตอร์จ่ายไฟกระแสสลับให้แทน โดยแปลงจากแบตเตอรี่ซึ่งประจุไว้ ขณะที่มีแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับหลัก
2. ใช้ควบคุมความเร็วของมอเตอร์กระแสสลับ โดยการเปลี่ยนความถี่ เมื่อความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับเปลี่ยนแปลง ความเร็วของมอเตอร์จะเปลี่ยนแปลงตามสมการ N=120f/N โดย ที่ N = ความเร็วรอบต่อนาที, f = ความถี่ ของแหล่งจ่ายไฟฟ้าต่อวินาที และ P = จำนวนขั้วของมอเตอร์ ในการควบคุมนี้ถ้าต้องการแรงบิดคงที่ จะต้องรักษาให้อัตราส่วนของแรงดันต่อความถี่ที่จ่ายเข้ามอเตอร์คงที่ด้วย
3. ใช้แปลงไฟฟ้าจากระบบส่งกำลังไฟฟ้าแรงสูงชนิดกระแสตรง ให้เป็นชนิดกระแสสลับ เพื่อจ่ายให้กับผู้ใช้
4. ใช้ในเตาถลุงเหล็กที่ใช้ความถี่สูง ซึ่งใช้หลักการเหนี่ยวนำด้วยสนามแม่เหล็กทำให้ร้อน ( Induction Heating )


การแปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแส สลับ

image001

ความแตกต่างระหว่างสวิตซ์ทางกลและไทริสเตอร์สวิตซ์

ในรูป 5.1ก ถ้าให้สวิตซ์ (S1, S'2) และ (S2, S'1) ทำหน้าที่ ปิดและเปิดสลับกันไป จะได้รูปคลื่นของเอาต์พุทโวลเตจ e0 และ กระแสโหลด i0 ดังรูปที่ 5.1ข ดังนั้นวงจรในรูป 5.1ก จึงจัดเป็นสแควร์เวฟอินเวอร์เตอร์ชนิดหนึ่ง
ในทางปฏิบัติสำหรับวงจรอินเวอร์เตอร์นั้นจะใช้ไทริสเตอร์ สวิตซ์แทนสวิตซ์ทางกล ไทริสเตอร์สวิตซ์จะมีข้อแตกต่างกับสวิตซ์ทางกลดังนี้
1. กระแสจะไหลเพียงทิศทางเดียวเท่านั้น
2. ไม่สามารถจะหยุดการนำกระแสได้ด้วยตัวเอง
3. ถ้าต้องการให้ไทริสเตอร์หยุดนำกระแสนั้น จะต้องมีรีเวอร์สโวลเตจคร่อมไทริสเตอร์ช่วงเวลาขณะหนึ่ง

ข้อควรคำนึงถึงเกี่ยวกับโครงสร้างของอินเวอร์เตอร์

เพื่อ เป็นแนวทางหลักสำหรับการพิจารณาว่าสวิตซ์ทางกลสามารถแทนได้ด้วยไทริสเตอร์ ได้อย่างไรนั้น จะขออธิบายจากรูปที่ 5.3 โดยจะมาลองพิจารณาดูว่าจุดไหนบ้างที่ควรคำนึงถึง ซึ่งจุดที่คำนึงถึงเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการกำหนดโครงสร้างของอิน เวอร์เตอร์

image002

การหยุดนำกระแส

ในรูปที่ 5.3 นั้น ในระหว่างครึ่งไซเคิลบวกซึ่ง Th1 กำลังนำกระแสอยู่ นั้น คาพาซิเตอร์ C'1 จะถูกชาร์จไว้ที่โวลเตจ E และจะมีกระแส i0 ไหลผ่านโหลดในขณะนี้ ถ้าให้ Th'1 นำกระแสในอันดับต่อไป e'c1 จะปรากฏคร่อม L'1 และอาศัยหลักการทำงานของหม้อแปลงแท็ป e'c1 = E จะปรากฏคร่อมขอลวด L1 ด้วย ดังนั้น Th1 จะได้รับรีเวิร์ส โวลเตจเท่ากับ -E ทำให้ Th1 OFF จะเห็นได้ว่าด้วยวิธีการที่ใช้นี้แม้ Th1 จะไม่สามารถหยุดการนำกระแสได้ด้วยตัวเองก็ตาม แต่อาศัยความช่วยเหลือของ L, C ก็สามารถหยุดการนำ กระแสได้ เราเรียก C นี้ว่า คอมมิวเทติงคาพาซิเตอร์ เรียก L ว่า คอมมิวเตติงรีแอกเตอร์ และพลังงานที่ใช้เป็นตัวกลางสำหรับการคอมมิวเตตนี้ว่า คอมมิวเตติงเอนเนอร์ยี ซึ่งในกรณีนี้คือค่า CE2/2

รีเวิร์สไบแอส

1. ใน รูปที่ 5.4 สำหรับกรณีที่กระแส i ไหลออกจากจุดกึ่งกลางระหว่าง C1 และ C'1 กระแสจำนวนนี้จะมาจากกระแสที่ไหลผ่าน C1 และ C'1 อย่างละครึ่งพอดี ทั้งนี้เพราะ E มีค่าคงที่ ส่วนที่เพิ่มขึ้นของโวลเตจ ec1 เท่านั้นที่จะต้องเท่ากับส่วนที่ลดลงของโวลเตจ e'c1
2. ในรูปที่ 5.3 ขณะที่ Th1 นำกระแส พลังงาน Li02/2 ของ L1 สำหรับกรณีที่ L1 และ L'1 มี การเชื่อมต่อกันอย่างดีแล้ว จะมีการเคลื่อนย้ายถ่ายเทไปสู่ L'1 ด้วยค่าคงที่ เท่าเดิม นั่นคือ กระแสซึ่งไหลผ่าน Th1 จะย้ายไปสู่ Th'1 ในทันทีทันใดด้วยค่าจำนวนเท่าเดิม
3. โดยปกติช่วงเวลาระหว่างการคอมมิวเตท จะใช้เวลา 10 us ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก ในกรณีที่โหลดเป็นอินดัคทีฟถือว่ากระแส i0 ในช่วงเวลานี้มีค่าคงที่

กระแสไหลได้สองทิศทาง

เมื่อ e'c1 = 0 ได้ ec1 = E ทำให้ D'1 ON และ ic1 = i'c1 = 0 กระแสโหลด i0 จะไหลผ่าน D'1, D1 เพื่อเริ่มทำหน้าที่ป้อนกลับรีแอกทีฟเพาเวอร์ขณะมี โหลดกลับเข้าซัพพลาย ดังนั้นแม้ว่า Th'1 จะให้กระแสไหลได้เพียงทิศทางเดียวก็ตาม เมื่ออาศัย D'1 ด้วยแล้วก็สามารถให้กระแสไหลได้อีกทิศทางหนึ่งในช่วง ( ~ (+( ดังรูปที่ 5.1ข รวมเป็น 2 ทิศทาง

คอมมิวเทติงเอนเนอร์ยี

จากที่ได้กล่าวไว้แล้วจะเห็นได้ว่า พลังงานสำหรับ L'1 คือ
ขณะมีโหลด L'1i02/2 + CE2
ขณะไร้โหลด CE2
พลังงานส่วนนี้จะสูญเสียไปใน Th'1, D'1 ในรูปของความร้อน และ Th'1 จะนำกระแสไปเรื่อยๆ จนกว่าพลังงานสูญเสียนี้จะหมดไป ทันทีที่พลังงานส่วนนี้เป็น 0 Th'1 ก็จะ ON อีกครั้ง
จะเห็นได้ว่าในการแทนสวิตซ์ทางกลด้วยไทริสเตอร์นั้น จะเป็นต้องมีคอมมิวเตติงเอนเนอร์ยีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สำหรับตัวอย่างที่กล่างนี้พลังงานดังกล่าวจำสูญเสียไปหมดในรูปความร้อน ในกรณีที่สามารถป้อนกลับพลังงานส่วนนี้กลับเข้าซัพพลาย ประสิทธิภาพของอินเวอร์เตอร์ก็จะสูงขึ้น

การแบ่งชนิดของอินเวอร์เตอร์

อินเวอร์เตอร์มีชนิดต่างๆ ด้วยกันมากมายจนอาจหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น อินเวอร์เตอร์ที่ให้หม้อแปลงเพื่อวัตถุประสงค์ในการลดจำนวนไทริสเตอร์หรือ อินเวอร์เตอร์ซึ่งมี L ต่อแทรกซัพพลายเพื่อวัตถุประสงค์ของการทำให้กระแสที่ออก จากซัพพลายมีค่าคงที่ ในช่วงระหว่างการคอมมิวเทต (อินเวอร์เตอร์แบบกระแส คงที่) เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้ว เราอาจแบ่งชนิดของอินเวอร์เตอร์ออกตามคุณสมบัติหรือโครงสร้างของวงจรได้ดัง นี้
1. แบ่งตามวิธีการป้อนพลังงานกลับเข้าซัพพลาย
1.1 Self Excite ( อนุกรม/ ขนาน )
1.2 Separatly Excite
2. แบ่งตามวิธีการซึ่งทำให้พลังงานคอมมิวเทติงหายไป
2.1 แบบป้อนกลับเข้าซัพพลาย
2.2 แบบไม่ป้อนกลับเข้าซัพพลาย
3. แบ่งตามคุณสมบัติของเอาท์พุท
3.1 พิจารณาจากลักษณะคลื่น

  • แบบสเแควร์เวฟ
  • แบบไซน์เวฟ

3.2 พิจารณาจากจำนวนเฟส

  • แบบ 1 เฟส
  • แบบ 3 เฟส

3.3 พิจารณาจากย่านความถี่

  • แบบความถี่ต่ำ
  • แบบความถี่สูง

3.4 พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงความถี่

  • แบบความถี่คงที่
  • แบบความถี่ปรับเปลี่ยนได้

3.5 พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงโวลเตจ

  • แบบโวลเตจคงที่
  • แบบปรับเปลี่ยนโวลเตจได้

บทสรุป

เนื่องจากในปัจจุบันนี้อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากยิ่งขึ้น และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็มิได้จำกัดการใช้งานแต่เฉพาะภายในอาคารเท่านั้น ดังนั้นแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับที่สามารถ เคลื่อนย้ายได้จึงเป็นสิ่งจำเป็น Interter ทำ ให้ความต้องการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ และเมื่อเราประยุกต์ เข้ากับการใช้งานอื่นๆ ก็สามารถนำอินเวอร์เตอร์ไปใช้ได้อีก เช่น การเก็บไฟฟ้าสำรองในระบบคอมพิวเตอร์

...